วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การออม กับ การลงทุน

   By www.thaimutualfund.com

  เมื่อเรามีเงินเหลือใช้เป็นประจำทุกเดือน สิ่งที่เราควรคำนึงถึง คือ เราจะจัดการกับเงินเหลือใช้นั้นอย่างเหมาะสมได้อย่างไร เพื่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปเรามักจะเก็บในรูปเงินสด หรือฝากธนาคาร บริษัทเงินทุน ซึ่งเราจะเรียกวิธีการนี้ว่า "การออม" หรือถ้าใช้วิธีการซื้อทองรูปพรรณ ทองแท่ง หรือที่ดินเก็บไว้ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หุ้น หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ก็จะเข้าลักษณะที่เรียกว่า "การลงทุน"


คือ การเก็บสะสมเงินทีละเล็กทีละน้อยให้พอกพูนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งการออมส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของเงินฝากกับธนาคาร หรือบริษัทเงินทุน โดยได้รับดอกเบี้ยเป็น ผลตอบแทน
คือ การนำเงินที่เก็บสะสมไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออม โดยการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหลักทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งจะมี ความเสี่ยง ที่สูงขึ้น



การเปรียบเทียบระหว่างการออมและการลงทุน
 


การออม การลงทุน
วัตถุประสงค์ เป็นการสะสมเงินเพื่อให้พอกพูนในระยะสั้น เผื่อไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เป็นการสะสมเงินให้งอกเงยต่อเนื่องในระยะยาว
วิธีการสะสม เงินฝากธนาคาร และบริษัทเงินทุน ลงทุนในพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น กองทุนรวมกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ความเสี่ยง ความเสี่ยงต่ำ(เนื่องจากรัฐบาลค้ำประกันเงินฝากทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เต็มจำนวน) มีความเสี่ยงมากน้อยตามประเภทและลักษณะของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ในปัจจุบันถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงิน
ผลตอบแทน ดอกเบี้ย ดอกเบี้ย เงินปันผล และ/หรือ ผลกำไรหรือ ขาดทุนจากการลงทุน
ข้อได้เปรียบ มีสภาพคล่องสูง ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่า
ข้อเสียเปรียบ ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุน

เก็บออมวันนี้ เป็นเศรษฐีในวันหน้า

เราทุกคนรับรู้กันมาตั้งแต่เล็กจนโตว่า ถ้าหากต้องการมีเงินใช้เยอะๆ ต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้าน หรือ ต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน เราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้มากๆ และรู้จักนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนเพิ่มเติม เพื่อให้เงินออกดอก ออกผลกลับมาให้กับเรามากขึ้นเรื่อยๆ

แต่เหตุไฉน คนหลายๆ คนจึงยังไม่สามารถมีอิสรภาพทางการเงินดังที่เคยฝันไว้ได้ บางคนมีชีวิตที่เรียกได้ว่า ไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ฝันไว้เลยด้วยซ้ำ...?
สาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้เราทุกคนไม่สามารถมีฐานะทางการเงินอย่างที่ต้องการได้ก็คือ แม้เราจะรู้ว่าต้องนำเงินไปลงทุนอยู่เรื่อยๆ ทว่าทุกวันนี้...เงินที่ใช้จ่ายแต่ละเดือนก็ยังไม่พอเลย แล้วจะนำเงินที่ไหนไปลงทุนเพิ่มเติมได้ เราจึงยังไม่เคยได้เริ่มต้นลงทุนใดๆ?และดูเหมือนว่า ความฝันของเรากำลังกลายเป็นแค่ฝันกลางวันเท่านั้นเอง??

ดังนั้นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำเพื่อให้ชีวิตทางการเงินของเราดีขึ้นควบคู่ ไปกับการลงทุน ก็คือ การเก็บออมเงินที่เราหามาได้อยู่เสมอๆ เพราะสุดท้ายแล้ว อนาคตทางการเงินของเราจะขึ้นอยู่กับ จำนวนเงินที่เราเก็บสะสมได้ ไม่ใช่จำนวนเงินที่เราหามาได้ ถ้าหากเราไม่สามารถเก็บออมเงินเพื่อนำมาลงทุนได้ เราก็ควรจะเลิกคิดถึงการมีอิสรภาพทางการเงินได้เลยครับ?

หนังสือ ?The Richest Man in Babylon? ซึ่งเป็นหนังสืออมตะเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการสร้างตนเองให้เป็นเศรษฐี ได้กล่าวไว้ว่า ?หนทางแห่งความ มั่งคั่งร่ำรวย คือ การจ่ายเงินให้กับตนเอง 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่หาได้ในแต่ละเดือนเสมอๆ จากนั้นจงนำเงินนั้นไปลงทุนให้งอกเงย ออกดอก ออกผล แล้วนำเงินทั้งหมดไปลงทุนต่ออย่างสม่ำเสมอ??
 
คนเราเมื่อได้เงินมาแล้ว มักจะนำเงินไปให้คนอื่นๆ (จับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ จากผู้อื่น) ก่อนตนเองเสมอ และมักคิดว่าเมื่อใช้แล้วเหลือเงินเท่าไหร่ก็ค่อยเก็บออม ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราก็จะไม่เหลือเงินให้ได้เก็บออมเลยในแต่ละเดือน และเมื่อไม่มีเงินออม เราย่อมไม่สามารถลงทุนใดๆ เพิ่มเติมได้เลย?
 
200498571-001.jpg
วิธีการมุ่งสู่ความมั่งคั่ง คือ ให้เราทำตรงข้ามกับสิ่งที่คนทั่วไปทำกันนั่นเอง โดยเมื่อเราได้รับ เงินเดือนหรือรายได้อื่นๆ ในแต่ละเดือนมา ให้เรานำเงินออกมาเก็บไว้ (จ่ายให้ตนเอง) 10 เปอร์เซ็นต์ก่อนเสมอ จากนั้นจึงนำเงินที่เหลือ อีก 90 เปอร์เซ็นต์ไปไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน?และเราต้องตั้งมั่นไว้เลยว่า ?จะไม่นำเงินจำนวนนี้ออกมาใช้? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ยกเว้นเพื่อนำเงินมาใช้สำหรับลงทุนเท่านั้น 

ถ้าหากเราต้องการใช้เงินเพื่อการอื่น เช่น ซื้อทีวีใหม่ เดินทางท่องเที่ยว ให้เราทำการเก็บเงินแยกต่างหากกับเงินจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์นี้? 

ให้เราเริ่มต้นเก็บเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเก็บเงินของเดือนนี้ จากนั้นให้คอยเผ้ามองการเติบโตของเงินที่เราเก็บสะสมได้ แล้วเราจะประหลาดใจว่า เราสามารถเก็บเงินได้จำนวนมากภายในเวลาไม่นาน ?

เมื่อมีเงินออมสำหรับลงทุนแล้ว เราก็สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนได้ โดยที่ไม่ต้องห่วงว่าจะกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราเลย ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างสุขุมและเยือกเย็นขึ้น เรามีเวลาเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด สุดท้ายแล้วการตัดสินใจลงทุนของเราก็จะทำเงินกลับมาให้เราได้อีกมหาศาล และทำให้เราสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ภายในเวลาไม่นาน?

หลายๆ คนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะบ่นว่า ตัวเราคงไม่มีทางเก็บเงินถึง 10 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือนได้หรอก เพราะว่าเท่าที่ได้เงินเดือนมาทุกวันนี้ ก็ต้องนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหมดแล้ว?
ถ้าหากว่าใครที่รู้สึกอย่างนั้นหรือใครที่มีหนี้สินอยู่มาก ทำให้การเก็บเงิน 10 เปอร์เซ็นต์นี้เป็นจำนวนที่มากเกินไป ให้เริ่มทำการเก็บเงินจากน้อยๆ ก่อน เช่น อาจจะเริ่มเก็บจาก 1 เปอร์เซ็นต์ และใช้จ่ายด้วยเงิน 99 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ได้ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเรามีชีวิตอยู่ได้กับเงิน 99 เปอร์เซ็นต์อย่างไม่เดือนร้อน ก็ให้เราเพิ่มอัตราการเก็บเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ และในระยะยาวก็เพิ่มอัตราการเก็บขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ แม้กระทั่ง 20 เปอร์เซ็นต์ก็ได้?


จงจำไว้เสมอว่า เราควรจะต้องมีเงินเก็บทุกๆ เดือน ไม่ว่าเงินเก็บเริ่มต้นของเราจะน้อยเพียงใด อาจจะแค่เดือนละ 100 บาท ก็ให้เราทำการเก็บไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะการมีเงินออมเพื่อการลงทุนนั้น คือ ขั้นแรกของการมีอิสรภาพทางการเงินนั่นเองครับ.

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
www.bizkons.com